การเจริญสมาธิทำในขณะนอนเมื่อเข้าถึงสมาธิระดับญานจิตมีกำลังมากพออาศัยสติปัญญาเป็นตัวควบคุมจะมีการแยกกายกับจิตออกจากกันให้เห็นคือรูปกายอีกรูปที่เรียกว่ากายในกายหรือกายละเอียดออกมาจากรูปกายหยาบ ซึ่งเห็นเป็นเหมือนตัวเราในปัจจุบันแต่กายนี้สามารถไปในที่ต่างๆได้ไปรู้ไปเห็นภูมิภพที่นอกเหนือจากโลกนี้ได้ เช่นไปเห็นนรกหรือสวรรค์เป็นต้น สามารถสัมผัสรู้เห็นจิตวิญญานผู้อื่นที่อยู่ในภพภูมิอื่น
แต่ถ้าจิตไม่ได้ไปไหนแต่มีความรู้สึกอยู่ที่รูปที่นอนอยู่แต่ไม่สามารถบังคับรูปนี้ได้อยู่ชั่วระยะหนึ่งนั้นก็เป็นสมาธิระดับญานเหมือนกัน สามารถรับรู้ถึงอาการทำงานของรูปที่นอนอยู่เช่น ได้ยินเสียงลมหายใจ หรือเสียงกรน แต่ความรู้สึกที่เราว่าเราไม่ได้หายใจ และไม่ได้กรน ลักษณะเช่นนั้นเป็นการทำงานของรูปกายโดยธรรมชาติที่ยังมีการทำงานอยู่เป็นปกติ เรียกว่ารู้อาการหลับพักของร่างกาย หรือเมื่อมีอาการฝันในเรื่องต่าง เราเห็นความฝันนั้น เรามีสติมีปัญญาเท่าทันสภาวะนั้น จิตรู้ว่านั้นเป็นความฝันและรู้ว่าเป็นอาการที่สมองได้บันทึกเรื่องราวต่างเอาไว้สร้างภาพมาให้เราเห็น เราไม่ได้เข้าไปสนธิอารมณ์กับภาพนั้น ภาพนั้นจะหายไป จิตเข้าถึงความสงบนิ่ง เรียกว่าตัดอุปาทานในเรื่องนั้นออกไป
และเมื่อร่างกายได้พักเต็มที่แล้วก็จะมีอาการที่รู้สึกว่าร่างนี้กระตุกนิดหนึ่งความรับรู้ที่รูปนี้ก็จะเกิดขึ้นทันทีเราสามารถควบคุมร่างนี้ได้เหมือนเดิม
แต่ถ้าเรามีสติปัญญาไม่ทันจิตจะเข้าสนธิอารมณ์ในความฝันนั้นก็มีอาการเหมือนเป็นเรื่องจริงทุกอย่าง ตรงนี้กำลังสมาธิที่มีนั้นสติอ่อนกำลังลงการบังคับควบคุมจิตทำได้ยากหรือไม่ได้เลย
ลักษณะความรู้สึกก็เหมือนกับคนที่ตายไปนั่นเองคือเมื่อกายกับจิตแยกจากกันแล้วเราไม่สามารถควบคุมร่างกายนี้ได้ ถ้าธาตุขันธ์แตกทำลายเพราะหมดวาระของชีวิตก็ไม่สามารถกลับเข้าร่างได้คือต้องเป็นไปตามวิบากกรรมที่เคยได้ทำมา
แต่ถ้ายังไม่หมดวิบากกรรม ธาตุขันธ์ยังไม่แตกทำลายลงไปก็จะกลับมีชีวิตเป็นปกติแต่ก็ได้มีปัญญาที่ได้รู้ถึงสภาวะจิตที่แท้จริงและจิตหลังความตายเป็นอย่างไร
ที่ส่วนใหญ่ปฏิบัติไปไม่ถึงเพราะกลัวความตาย และปฏิบัติไม่ตรงตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ทางไว้ให้เราปฏิบัติ |